ก่อนจะเขียนหัวข้อนี้นำเสนอต่อท่านผู้อ่าน ก็อดคิดในใจไม่ได้…คนอ่านเค้าอยากจะรู้เปล่าหนอ…แต่เอาน่า..ไหนๆก็จะนำเสนอแล้ว แนะนำตัวตามธรรมเนียมไทยแท้แต่โบราณ ว่าหัวนอนปลายเท้า ดร.แพทต์..เป็นยังไงเนอะ
บ้านเกิดคือ ตำบลดงละคร อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก การศึกษาก็จบประถม มัธยมต้นแล้วศึกษาต่อ ปวช.แผนกช่างอิเลคทรอนิคส์ วิทยาลัยเทคนิคนครนายก จบปี พ.ศ. 2529 (ได้ตำแหน่งศิษย์เก่าดีเด่น ปี พ.ศ. 2540) แล้วก็ไปทำงานไปด้วย เรียนต่อปวส.แผนกช่างไฟฟ้า ที่มหาวิทยาลัยศรีปทุม พ.ศ. 2532 จากนั้นก็ไปศึกษาต่อในคณะบริหารธุรกิจ สาขาการจัดการ ที่มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต ปี พ.ศ. 2546 พอจบก็ศึกษาต่อเลยในระดับปริญญาโทและปริญญาเอกคณะบริหารธุรกิจ สาขาการจัดการ ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งปริญญาเอกเนี่ย เรียนอยู่ 7 ปี คือ ปี พ.ศ. 2552 ก็จะเป็นรหัส 52 ระหว่างที่เรียนปริญญาเอก ก็ไปศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหงตอนปี พ.ศ. 2554 จบนิติศาสตร์ ปี พ.ศ. 2557 สอบใบอนุญาตว่าความ เป็นทนาย ปี พ.ศ. 2558 แล้วก็เพิ่งสอบจบปริญญาเอกในปี พ.ศ. 2559
การเรียนในระดับปริญญาเอกสิ่งที่ได้มากที่สุดคือการเรียบเรียงความคิด สามารถคิดเป็นเชิงระบบมากขึ้น รู้จักเสียสละเพื่อส่วนรวมในฐานะที่มีการศึกษามากกว่า มีการคิดวิเคราะห์และหาทางออกหรือแนวทางการแก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรม ปฏิบัติได้จริง เข้าใจตนเอง เข้าใจคนอื่นมากกว่าเดิม
แต่จบปริญญาเอก มีส่วนทำให้หน้าตาออกแนวโน้มจะปัญญาอ่อนไปหน่อย ทั้งนี้มาจากความรู้สึกที่”ยิ่งเรียนยิ่งโง่ ยิ่งโตยิ่งเซ่อ” คือเรียนๆไปเหมือนตัวเองยังไม่รู้อะไรอีกเยอะแยะ มากมาย เหมือนการเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุดจริงๆ”ดังเขาว่า” (เขาไหน ไม่รู้ โปรดอย่าถาม ตอบไม่ด้ายๆๆๆ 555) ยิ่งโต คือยิ่งมีชื่อเสียง หน้าที่การงานสูงขึ้น ยิ่งเหมือนเซ่อซ่า ปัญญาอ่อน วางตัวไม่ถูก เพราะสังคมคาดหวังสูงมากๆๆ ว่าจบปริญญาเอกต้องรู้ทุกเรื่อง น่ายกย่อง น่าเชื่อถือ เลยยิ่งกดดันไปใหญ่เลย เอาเข้าจริงๆนะ ความรู้ไม่เท่าไหร่หรอก ที่มีบทบาทสำคัญนั่นคือ”ประสบการณ์”มากกว่า ในชีวิตจริง อยากทำงานสบายๆมากกว่า ไม่ชอบกดดันและก็อยากมีความรักในงานที่ทำ แต่ๆๆๆเปล่าหรอก นั่นมันในฝัน ชีวิตจริงไม่มีสิทธิ์เลือกขนาดน้านนนนนน การดิ้นรน เพื่อความอยู่รอด ทำให้หลายท่านอยู่ในสภาพ “หมดทางเลือก”หรือ “ไม่มีทางเลือก”มากว่า เพราะหันซ้ายก็ภาระ หันขวาก็หน้าที่ มองไปข้างหน้าก็ความรับผิดชอบ แล้วจะหันหนีไปไหนได้ล่ะ จริงป่ะอย่าคิดมาก..ทุกชีวิตดิ้นรน ค้นหา แต่จุดหมาย ..(เพลงคาราบาว ก็มา..อิอิ) บนโลกใบนี้ เป็นแบบนี้ ธรรมชาติสร้างมา ให้มีทุกข์คนละแบบ “คนมีตังค์จะกินอะไร “ คนไม่มีตังค์จะเอาอะไรกิน เห็นป่ะ วางตำแหน่งคำผิด ความหมายเปลี่ยนไปเลยเป็นทนายความมีสาเหตุมาจากปัญหาชีวิตส่วนตัว ใจจริงชอบเป็นนักธุรกิจหรือเป็นอาจารย์สอนหนังสือมากกว่า เพราะไม่ต้องเครียดมาก อาชีพทนายความเป็นอาชีพที่ต้องมีความรับผิดชอบและมีวินัยในตนเองสูงมาก จนบางครั้งอึดอัด ไม่ค่อยมีความสุขกับอาชีพทนายความ แต่ก็เห็นความเดือดร้อนของผู้ที่มาขอความช่วยเหลือด้านกฎหมาย ก็เลยยังต้องทำอยู่ต่อไปเพราะคิดเสมอว่า ถ้าช่วยใครได้บ้างก็จะพยายามช่วยเท่าที่จะสามารถกระทำได้..ชีวิตดี้ดี..555
รู้จัก ดร.แพทต์ ปฐพร ตวิษาประกิต

Facebook Comments